ในช่วงเวลาที่ค่าไฟพุ่งแรงแบบนี้ อะไรที่เชื่อและหวังว่าพอช่วยประหยัดได้ ทาง Life and home ลองหมด! วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาเช็คลิสต์ “ความเชื่อ” เรื่องแอร์กัน ความเชื่อไหนประหยัดไฟจริง ความเชื่อไหนเปลืองไฟกว่าเดิม!? บางเรื่องที่คุณอาจรู้ หรือยังไม่รู้ ตามไปหาคำตอบกันค่ะ
ความเชื่อนี้ ผู้เขียนขอยกมือยืนยันอีกเสียงว่าประหยัดไฟจริง! เพราะลองมากับตัวเองแล้ว ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นจากเดิมที่มักจะตั้งไว้ 25 องศา ขยับมาที่ 26 – 27 องศา พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ไปด้วย นอกจากจะช่วยกระจายความเย็นได้เป็นอย่างดีแล้ว ที่สำคัญยังช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้อีก 1- 2 องศาเลยทีเดียว แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกเย็นสบายตัว ไม่แพ้การเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 23-24 องศา เลยล่ะ! รับรองว่าวิธีนี้จะช่วยประหยัดทั้งพลังงานและค่าไฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อีกทริคที่ผู้เขียนอยากแนะนำ หากกลับไปถึงบ้านแล้วรู้สึกว่าอบอ้าวเกินไป อย่าเพิ่งเปิดแอร์ในทันที ควรเปิดประตู หน้าต่าง ให้อากาศมีการถ่ายเทหมุนเวียน หรืออาจเปิดพัดลมช่วยไล่ความร้อนออกไปอีกทางก่อน จากนั้นค่อยเปิดแอร์พร้อมพัดลมตาม ยิ่งทำให้อากาศในห้องเย็นเร็วขึ้น แถมแอร์ไม่ทำงานหนักจนเกินไปด้วย
ความเชื่อนี้ จริงแท้แน่นอนค่ะ!! การล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่ช่วยลดค่าไฟในแต่ละเดือนได้เป็นอย่างมาก นอกจากจะเซฟเงินแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย การล้างแอร์สำคัญยังไง? ต้องบอกว่าเมื่อเราเปิดใช้งานแอร์อยู่เป็นประจำทุกวัน ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ ภายในห้อง ก็จะลอยละล่องเข้าไปเกาะติดสะสมในแผ่นกรองอากาศ และตามซอกซอนส่วนต่างๆ ส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบภายในตัวเครื่อง สาเหตุของการอุดตัน ปัญหาแอร์ไม่เย็น ทำให้คอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำงานหนัก อัตราการกินไฟจึงพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้จึงหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศหรือฟิลเตอร์ อย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือขึ้นอยู่สภาพพื้นที่การใช้งาน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ จนทำให้เกิดการอุดตัน จนลมไม่สามารถหมุนเวียนได้ตามปกติ และควรล้างแอร์แบบเต็มระบบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญในทุก 6 เดือน เพื่อขจัดเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่ซ่อนตัวอยู่ตามคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน ซึ่งก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ในระยะยาวด้วย
หลายคนคงได้ยินและเชื่อกันมาตลอด ว่าการเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศา จะช่วยประหยัดไฟได้สูงสุด แต่ความจริงแล้วตัวเลขนี้ เป็นเพียงอุณหภูมิพื้นฐานสำหรับบ้านเรา ที่ร่างกายอยู่ใน “สภาวะสบาย” คือไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป การปรับอุณหภูมิ 25 องศา จึงเป็นตัวเลขที่เรามักจะคุ้นหู แน่นอนว่า หากปรับแอร์ให้สูงขึ้นจากเดิมที่อุณหภูมิ 26 – 27 องศา ซึ่งก็ยังอยู่ในช่วงของความเย็นสบาย ก็ย่อมประหยัดค่าไฟได้มากกว่า แต่ทั้งนี้ความสบายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน การตั้งอุณหภูมิแอร์ จึงต้องคำนึงว่าทุกครั้งที่เรากด ON ย่อมส่งผลต่อค่าไฟ จะประหยัด หรือแพง ก็ต้องดูพฤติกรรมการใช้งานเป็นสำคัญ!
เลิกได้เลิก! ถ้าไม่อยากให้แอร์พังเร็ว แถมต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม คือหลายคนมักเข้าใจว่า เปิดแอร์ให้ห้องเย็นแล้วค่อยปิด พอเริ่มร้อนแล้วจึงเปิดใหม่ จะช่วยประหยัดไฟ ยิ่งการ เปิด-ปิด ในระยะสั้นๆ ด้วยแล้ว บอกเลยว่ายิ่งทำให้แอร์ทำงานหนัก แถมค่าไฟยังพุ่งกระฉูดแน่นอน ต้องทำความเข้าใจว่า ช่วงที่แอร์ใช้กำลังไฟมากที่สุด คือช่วงที่เรากด ON การทำงาน ทันทีที่คอมเพรสเซอร์สตาร์ท เป็นช่วงที่กินไฟค่อนข้างสูง อีกทั้งการเปิด-ปิดบ่อยครั้ง ไฟจะกระชาก ทำให้อายุการใช้งานของแอร์สั้นลงด้วย ทั้งนี้ก็ต้องมองปัจจัยหลายอย่างด้วย ทั้งระยะช่วงที่เปิดแล้วปิดนานแค่ไหน อุณหภูมิของห้องก่อนเปิดอีกครั้ง ประเภทของแอร์ที่ใช้ เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่า การเปิดแอร์แบบต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนแบบไม่พัก จะช่วยประหยัดไฟ ควรดูความเหมาะสมในการใช้งานด้วย
ยังคงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหลายคนอาจยังเข้าใจว่า ยิ่งเลือกซื้อแอร์ที่มีค่า BTU สูง จะทำให้อุณภูมิในห้องเย็นเร็วขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกขนาด BTU สูงเกินความจำเป็นกว่าขนาดของห้อง นอกจากค่าไฟที่แพงขึ้น จะยิ่งทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย และทำให้เกิดความชื้นภายในห้องสูง แม้จะรู้สึกเย็นแต่ไม่สบายตัว และอาจเสี่ยงเกิดโรคทางเดินหายใจตามมา แต่ถ้าเลือก BTU ต่ำ เกินไป คอมเพรสเซอร์จะยิ่งทำงานหนัก นอกจากจะสิ้นเปลืองพลังงานยังส่งผลให้เครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ฉะนั้นการทำงานของแอร์จะมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเลือกขนาดที่สัมพันธ์กับพื้นที่ห้อง โดยทั่วไปค่า BTU ของแอร์มีให้เลือกใช้งานและติดตั้งหลายขนาดตั้งแต่ 9,000 BTU ไปจนถึง 42,000 BTU หรือมากกว่านั้น ตามขนาดพื้นที่ของห้อง หากเลือก BTU อย่างเหมาะสมก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น
ใครพลาดไปโดยไม่รู้ตัว แก้ความเชื่อใหม่ยังไม่สาย! จะเห็นว่าเคล็ดลับประหยัดค่าไฟในบ้านเรานั้น ใดๆ ล้วนขึ้นอยู่กับความเหมาะสมต่อการใช้งาน รวมไปถึงการบำรุงรักษา นอกจากนี้การเลือกแอร์ให้ดีตั้งแต่แรกยิ่งสำคัญ! ใครอยากเปลี่ยนแอร์ หรือกำลังเล็งแอร์เครื่องใหม่อยู่ละก็ Life and home ขอแนะนำ Mitsubishi Heavy Duty แอร์คุณภาพ แบรนด์ญี่ปุ่น ที่จัดจำหน่ายโดย บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ครบครันทุกฟังก์ชันความสะดวก ทั้งเย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ แถมเอาใจคนรักสุขภาพอีกด้วย ครบจบในเครื่องเดียวแบบนี้ ต้องมี Heavy Duty นะทุกคน
บ้านไหนเน้นทนทาน ประหยัดไฟ เรียบง่ายแต่ฟังก์ชันแน่น และเสี่ยงเป็นภูมิแพ้ง่าย แนะนำรุ่น Fuyu Series ที่มีขนาดตั้งแต่ 8,770 – 20,977 Btu/h (ครอบคลุมพื้นที่ห้องตั้งแต่ 9 – 26 ตร.ม.) เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งบ้าน กับระบบที่ช่วยดักจับเชื้อโรค ไวรัส ฝุ่นละออง แถมประหยัดไฟมากกว่าด้วยอินเวอร์เตอร์แท้ทั้งระบบ พร้อมประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 3 ดาว ความโดดเด่นยังไม่หมด ซีรีส์นี้ยังทำงานได้ถึง 2 ระบบด้วยกัน ทั้ง Cooling และ Heating ทำความเย็นก็ได้ ทำความร้อนก็ดี ทั้งยังพิเศษด้วย Motion Sensor เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว หากไม่พบความเคลื่อนไหวภายใน 1 ชั่วโมง ระบบจะปรับเข้าโหมด Stand by แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีใครเดินเข้ามา แอร์ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง หรือหากตรวจไม่พบความเคลื่อนไหว ก็สามารถตั้งค่าให้เครื่องปิดการทำงานโดยอัตโนมัติได้ตั้งแต่ 2-12 ชั่วโมงเลยทีเดียว จึงกล้าการันตีได้เลยว่าเครื่องปรับอากาศรุ่น Fuyu Series นี้ประหยัดไฟมากเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ Fuyu Series ยังมีรุ่น High Cooling Capacity ขนาด 26,749 และ 32,070 Btu/h (เหมาะกับห้องขนาด 26 – 43 ตร.ม.) อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติก็จะเหมือนกับรุ่น Fuyu Series ทุกอย่างแต่ไม่มี Motion Sensor ที่คอยจับความเคลื่อนไหวนั่นเอง
ฟังก์ชันหลักๆ ของซีรีส์ Fuyu Series
บ้านใครเน้นดีไซน์ Decoration กำลังแต่งบ้าน และมองหาแอร์คูลๆ แบบประหยัดพื้นที่ ต้องไม่พลาดกับเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้า 4 ทิศทาง รุ่น FDT Series ที่ให้ความเรียบง่ายแต่หรูหราในตัว กลมกลืนเข้ากับทุกพื้นที่การใช้งาน ทั้งบ้านพักอาศัย ห้องโถง ร้านอาหาร คาเฟ่ ไปจนอาคารสำนักงาน สำหรับรุ่นนี้มีให้เลือก 2 สีด้วยกันคิอ SHADOW BLACK และ FINE SNOW รับรองว่าเข้ากับทุกสไตล์การตกแต่ง แต่งง่ายแบบไม่ขัดใจ ทั้งยังโดดเด่นด้วยนวัตกรรม Draft Prevention Panel ที่ช่วยกระจายลมเย็นแบบไม่กระทบตัวโดยตรง ที่สำคัญยังการันตีการประหยัดไฟด้วยฉลากเบอร์ 5 อีกด้วย
ฟังก์ชันหลักๆ ของซีรีส์ FDT Series
ส่วนบ้านใครที่เป็นสาย Sensitive วิตกกังวลเรื่องฝุ่น ปัญหาใหญ่ทำลายสุขภาพ ขอแนะนำเครื่องฟอกอากาศ Mori Series ไอเทมที่ควรมีในบ้าน! เพื่อความปลอดภัย อุ่นใจจากฝุ่นร้ายที่ยังคงวนเวียนรอบตัวเรา กับคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดฝุ่น PM. 2.5 ได้ถึง 99.99% เหมาะกับห้องขนาด 43.94 ตร.ม. จะวางมุมไหนก็เป๊ะลงตัว ด้วยดีไซน์สุดโมเดิร์น พร้อมไฟแสดงสถานะ แสดงผลสภาพอากาศภายในห้อง
ฟังก์ชันหลักๆ ของซีรีส์ Mori Series
บอกเลยว่า Mitsubishi Heavy Duty บ้านทีมงานเราก็ใช้ นอกจากจะมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานแล้ว ยังรู้สึกประทับกับการบริการที่ รวดเร็ว ฉับไว ไว้ใจได้ ดูแลดีตั้งแต่การติดตั้งยันดูแลหลังการขาย ทั้งล้าง ซ่อม ไม่ต้องเสี่ยงสุ่มหาช่างเอง อุ่นใจ ปลอดภัย สบายใจสุดๆ ที่สำคัญสินค้ารับประกัน 5 ปีทุกชิ้นส่วน และยังขยายเวลารับประกันเพิ่ม 6 เดือน เมื่อลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ใครที่กำลังแต่งบ้าน สร้างบ้าน หรือรีโนเวทบ้านใหม่ และกำลังลังมองหาแอร์ดีๆ ที่โดดเด่นทั้งฟังก์ชั่น ลงตัวทั้งดีไซน์ อย่าลังเลค่ะ Mitsubishi Heavy Duty บอกเลยว่าคุ้มค่าในระยะยาวแน่นอน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.mahajak.com/mitsuheavythai
หรือ Facebook : Mitsubishi Heavy Duty Thailand โทร.02-378-9999