Back to home
Eco, HOME, Material

รวมเคล็ดลับเปิดแอร์อย่างไร ให้ประหยัดไฟ 2021

ไม่ว่าจะฤดูไหน อากาศเมืองไทยก็ร้อนไม่แผ่วชวนให้หงุดหงิด รู้สึกแสบหน้าแสบตัวทุกครั้งไป ยิ่งเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการด้วยแล้ว ก็ยิ่งพาลให้ไม่อยากออกไปไหน เพราะคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ตากแอร์ฉ่ำๆ พักผ่อนอยู่บ้านดูซีรีส์เพลินๆ แต่หากจะต้องเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน นอกจากเครื่องต้องทำงานหนักแล้ว บิลค่าไฟมาแต่ละรอบ จากที่ร้อนกายอาจต้องร้อนใจไปด้วย ฉะนั้น Life and home จึงได้รวมเคล็ดลับเปิดแอร์อย่างไร ให้ค่าไฟไม่พุ่ง แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ มาฝากกัน


เลือก BTU แอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง


หลายคนคงสงสัย BTU คืออะไร สำคัญแค่ไหนกับการเลือกซื้อแอร์ ทำไมจึงต้องเลือกให้เหมาะกับขนาดห้อง? มาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ ไปพร้อมกัน สำหรับเจ้า BTU นั้นย่อมาจาก British Thermal Unit คือขนาดทำความเย็นของแอร์ โดยใน 1 ตัน จะสามารถทำความเย็นได้ 12,000 BTU/ชั่วโมง

ดังนั้นการเลือกซื้อแอร์ทุกครั้ง จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดห้อง เพื่อให้ความเย็นที่เหมาะสมและประหยัดไฟมากที่สุด เพราะหากเลือก BTU สูงเกินไป นอกจากค่าแอร์ที่แพงขึ้น ยังส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย ยิ่งทำให้เกิดความชื้นภายในห้องสูง ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ แต่ถ้า BTU มีค่าต่ำเกินไป แอร์ก็จะยิ่งทำงานหนัก ส่งผลให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ แน่นอนว่ายิ่งกินไฟมากขึ้นด้วย โดยทั่วไปค่า BTU ของแอร์มีให้เลือกตั้งแต่ 9,000 BTU ไปจนถึง 42,000 BTU หรือมากกว่านั้น ตามขนาดพื้นที่ของห้อง ฉะนั้นหากเลือก BTU อย่างเหมาะสมก็จะช่วยประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น

การเลือก BTU แอร์ ให้เหมาะสม นอกจากจะต้องรู้ขนาดของห้องแล้ว ความสูงจากพื้นจรดเพดาน ทิศทางของแดดที่ส่องเข้ามา จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าและผู้อาศัยภายในห้องก็สำคัญ โดยวิธีการคำนวณ BTU แอร์ ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด สามารถใช้สูตรดังนี้ BTU = พื้นที่ห้อง ความกว้าง (เมตร) x ความยาว (เมตร) x ค่าตัวแปร ซึ่งค่าตัวแปรก็แบ่งออกเป็นดังนี้ 750 ห้องนอนปกติที่ไม่โดนแดด 800 ห้องนอนปกติที่โดนแดด 850 ห้องทำงานที่ไม่โดนแดด 900 ห้องทำงานที่โดนแดด

950 – 1,100 สำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านทำผม ที่ไม่โดนแดด 1,000 – 1,200 สำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านทำผม ที่โดนแดด 1,100 – 1,500 ห้องประชุม สัมมนา ร้านอาหารจำพวกปิ้งย่าง ชาบู หรืออาคารอยู่อาศัยที่มีจำนวนคนมากกว่าปกติหลายเท่า แต่หากไม่อยากคำนวนให้ยุ่งยาก ก็สามารถเปรียบเทียบได้ตามตารางดังต่อไปนี้


ติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ในที่อากาศถ่ายเทสะดวกและไม่ชื้น


อีกหนึ่งปัญหาค่าไฟพุ่งที่หลายคนมองข้าม คือตำแหน่งการวางคอมเพรสเซอร์แอร์ ควรเลี่ยงบริเวณที่โดนแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง หลีกเลี่ยงมุมอับ รวมถึงอากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนัก ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและการทำงานของแอร์ลดลง อีกสาเหตุให้แอร์เสื่อมสภาพเร็ว

ฉะนั้นควรวางไว้ในพื้นที่อากาศถ่ายเทสะดวก โดยให้ห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุตเป็นอย่างน้อย แต่ต้องระวังไม่ให้อยู่ตำแหน่งที่บังทิศทางลม เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญไม่ควรติดตั้งห่างจากตัวแอร์มากไป เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและกินไฟมากขึ้นตามไปด้วย


ทำความสะอาดคอยล์ร้อน คอยล์เย็น ลดปัญหาการอุดตัน


เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแอร์ในระยะยาว ควรล้างแอร์ทุก 6 เดือน หรือตามความเหมาะสมในการใช้งาน และสภาพแวดล้อมที่ติดตั้ง  เพราะนอกจากจะลดการสะสมของเชื้อโรค อากาศหมุนเวียนสะดวก ช่วยให้แอร์ทำความเย็นได้เร็วขึ้น ยังประหยัดค่าไฟได้อย่างเห็นผลอีกด้วย โดยเฉพาะการทำความสะอาดคอยล์เย็น ซึ่งเป็นแผงอะลูมิเนียมภายในตัวเครื่องปรับอากาศ ทำหน้าที่กระจายความเย็นภายในห้อง สามารถนำแปรงสีฟัน หรือแปรงทาสีขนาดเล็ก ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามแนวร่องของคลีบอะลูมิเนียม แล้วจึงทำความสะอาดด้วยน้ำเพื่อให้ฝุ่นหลุดออกจนหมด หรือจะให้ดีที่สุดควรเรียกช่างมาล้างทำความสะอาดจะดีกว่า แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ลดค่าใช้ง่าย ปัจจุบันก็มีแอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบทำความสะอาดคอยล์เย็นโดยอัตโนมัติ นอกจากจะเบาแรงแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ให้ยาวนานขึ้นด้วย

สำหรับคอยล์ร้อน คือแผงอะลูมิเนียมในส่วนของคอมเพรสเซอร์แอร์ ที่อยู่ภายนอกอาคาร ทำหน้าที่ระบายความร้อนของสารทำความเย็น สามารถทำความสะอาดได้ง่ายดายมาก เพียงฉีดน้ำไล่ฝุ่นจากด้านนอกได้เลย แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายจนระบายความร้อนไม่ได้ จะเห็นว่าทั้งคอยล์เย็นและคอยล์ร้อนนั้น หากปล่อยให้มีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการอุดตันภายในระบบ ส่งผลให้อากาศภายในห้องไหลเวียนไม่สะดวก แอร์ก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ค่าไฟก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย


ติดตั้งผ้าม่านช่วยลดความร้อนจากภายนอก


อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ผ้าม่าน นอกจากจะเสริมบรรยากาศให้บ้านดูสวยงามแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้ผู้อาศัย ผ้าม่านบางประเภทยังมีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนจากภายนอกที่จะเข้าสู่ภายในบ้านได้อีกทางด้วย ฉะนั้นการเลือกผ้าม่าน ใช่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ได้! เพราะหากเลือกผิด อาจเป็นแหล่งกักเก็บความร้อนชั้นดีเลยก็ว่าได้ ยิ่งโดยเฉพาะหน้าร้อนแบบนี้ การเลือกผ้าม่านที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันแสง UV อย่างผ้าม่านแบล็คเอาท์ (Black out) กับคุณสมบัติช่วยกันแสงได้ถึง 99% เพราะได้ผ่านกระบวนการเคลือบด้านหลังของผ้า ลักษณะเนื้อผ้าแบบ Polyester Polymer จึงมีความหนา และทึบแสง ก็จะยิ่งช่วยลดบ้านร้อน ลดใช้เครื่องปรับอากาศ ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทาง


ตั้งอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นจากเดิม แล้วเปิดพัดลมช่วย


ยังคงเป็นวิธีที่ประหยัดค่าไฟได้เห็นผลจริง คือการเปิดแอร์พร้อมเปิดพัดลมไปด้วย!! สำหรับการทำงานของแอร์นั้น ผลิตความเย็นมาก อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ ใช้ไฟมาก ผลิตความเย็นน้อย อุณหภูมิเฉลี่ยสูง ใช้ไฟน้อย ฉะนั้นถ้าอุณหภูมิในห้องเย็นตามที่ตั้งไว้คอมเพรสเซอร์ตัดเร็ว ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น ซึ่งการตั้งค่าอุณหภูมิที่ช่วยเซฟได้คือราว ๆ 25- 28 องศา ทั้งนี้ก็ต้องดูอุณหภูมิภายนอกประกอบด้วย เพราะยิ่งตั้งค่าอุณหภูมิต่างจากภายนอกเท่าไหร่ แอร์ก็จะยิ่งต้องทำความเย็นหนักและกินไฟเพิ่มมากขึ้น

โดยส่วนใหญ่คนเรามักเปิดแอร์อยู่ที่ 25 องศา  ซึ่งเป็น  “สภาวะน่าสบาย” คือช่วงอุณหภูมิและความชื้นของอากาศเหมาะสม ที่ทำให้เรารู้สึกสบายตัวมากที่สุด ไม่หนาวจนผิวรู้สึกแห้ง หรือร้อนจนเหนียวเหนอะหนะ เพื่อสร้างสภาวะอยู่สบายภายในบ้าน จึงไม่ควรเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำเกินไป เพราะจะยิ่งเปลืองพลังงานและค่าไฟที่มากขึ้นตามไปด้วย เพียงปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นจากเดิม 2 องศา หรืออยู่ที่ประมาณ 26 – 27 องศา จากนั้นให้เปิดพัดลมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งความเย็นจากพัดลมจะทำให้อุณหภูมิผิวเรารู้สึกเย็นขึ้น 1-2 องศา ก็ให้ความเย็นสบายไม่แพ้กัน ที่สำคัญเจ้าพัดลมยังช่วยกระจายความเย็นได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก่อนเปิดแอร์ ก็ควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศ หรือเปิดพัดลมระบายความร้อนออกไปก่อน ก็ยิ่งจะช่วยลดการทำงานของแอร์ไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป


ประหยัดไฟมากกว่าเดิม ด้วยแอร์ระบบ Inverter


แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ประหยัดไฟมากกว่าทั่วไปจริงหรือไม่? คำถามก่อนเลือกซื้อแอร์ที่หลายคนยังสงสัย สำหรับแอร์ระบบ Inverter นั้นช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ทั่วไปจริง ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิห้องได้คงที่ คอมเพรสเซอร์ไม่มีการตัดรอบ เหมือนแอร์ทั่วไปที่เมื่อถึงอุณหภูมิความเย็นที่ตั้งไว้ คอมเพรสเซอร์จะตัดการทำงานทันที นอกจากจะลดการใช้พลังงานแล้ว ค่าไฟก็ยิ่งถูกลงไปด้วย

โดยการทำงานของแอร์ระบบ Inverter นั้นคอมเพรสเซอร์จะทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่จะลดรอบการทำงานลงเมื่อความเย็นคงที่ และด้วยการทำงานที่ต่อเนื่อง จึงทำให้เสียงการทำงานเงียบ ต่างจากแอร์ทั่วไปเมื่ออุณหภูมิในห้องเพิ่มสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานใหม่ เพื่อลดอุณหภูมิลงอีกครั้ง เมื่อต้องเริ่มทำงานใหม่บ่อยครั้งเข้า นอกจากเสียงที่ดังรบกวน ก็อาจทำให้เกิดอาการไฟกระชาก แถมยังกินไฟสุดๆ อีกทั้งอุณหภูมิภายในห้องที่เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวจนเกิดอาการป่วยได้

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัด ที่จะช่วยให้เราผ่านหน้าร้อนนี้ไปได้โดยกระเป๋าไม่ฉีก แถมไม่ต้องกลุ้มใจค่าไฟจะพุ่งกระฉูดจนเกินรับไหว แต่หากใครที่อยากติดแอร์เพิ่ม หรือมองหาแอร์ใหม่แทนแอร์เก่าที่อาจเสื่อมสภาพ จนเกินรับมือกับสภาพอากาศอากาศละก็ Life and home ขอแนะนำเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ไอเทมคลายร้อน ที่ครบครันทุกฟังก์ชัน ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ทั้งเย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ กับ 3 Series ใหม่ เพื่อประกอบในการตัดสินใจกับ ZSXS (FUYU Series) และ  YVS & YXS (AKI & YUKI Series)

โดยทั้ง 3 รุ่นเป็น Inverter แท้ทั้งระบบ ประกอบด้วย 4 ชิ้นส่วน เพื่อการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ให้อุณหภูมิความเย็นอย่างต่อเนื่องและคงที่ ทำให้เกิดการประหยัดไฟได้มากกว่า

1.แผงวงจรอัจฉริยะ PAM ควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ โดยปรับเปลี่ยนความถี่ในการทำงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พลังงาน

2.คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC สามารถปรับเปลี่ยนความเร็วรอบในการทำงานให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้อง จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น

3.วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV ควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็น เพื่อให้วงจรสารทำความเย็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด

4.มอเตอร์กระแสตรง มีความแม่นยำในการควบคุมความเร็วรอบ เปลี่ยนแปลงความเร็วรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เครื่องปรับอากาศ MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น ZSXS (FUYU Series)


เริ่มกันที่เครื่องปรับอากาศ MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น ZSXS (FUYU Series) ไม่เพียงใส่ใจในรายละเอียดของการดีไซน์ แต่ยังมาพร้อมการทำงานได้ 2 ระบบ คือแบบทำความเย็น (Cooling Operation) และระบบทำความร้อน (Heating Operation) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่ช่วยให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าไฟด้วยการใช้ Motion Sensor ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในห้อง และปรับอุณหภูมิ ระดับพัดลม ด้วยโหมดการทำงานโดยอัตโนมัติ หรือสามารถตั้งค่าให้เครื่องปิดเองโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่มีคนอยู่ในห้องด้วยก็ได้เช่นกัน ทำให้เครื่องปรับอากาศรุ่น Fuyu Series นี้ประหยัดไฟมากเป็นพิเศษ

นอกจากฟังก์ชันประหยัดพลังงานแล้ว ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่โดดเด่นอัดมาเต็มเครื่อง ด้วยช่องลมแบบ Jet flow โดยใช้เทคโนโลยีจ่ายลมแบบเดียวกับใบพัดในเครื่องบินเจ็ท ทำให้ส่งลมเย็นได้ไกลสูงสุด 17 เมตร หมดห่วงแอร์เย็นไม่ทันใจ เพียงกดปุ่ม Hi Power บนรีโมทคอนโทรล เครื่องปรับอากาศจะเร่งความเร็วต่อเนื่องให้ห้องเย็นตามอุณหภูมิที่กำหนดภายในเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แถมห้องยังเย็นอย่างทั่วถึง ด้วยฟังก์ชัน 3D Auto ที่กระจายลมอัตโนมัติแนวตั้ง 6 รูปแบบ และแนวนอน 8 รูปแบบ ด้วยกัน ทำให้เครื่องสามารถส่งลมเย็นไปได้ทั่วทุกมุมห้อง

นอกจาก ZSXS (FUYU Series) จะช่วยคลายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ด้วย Allergen Clear Filter แผ่นฟอกอากาศ ที่มีคุณสมบัติทำลายเชื้อโรคและต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ Nano Air filter ที่ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ซึ่งได้รับการรับรองตามมาตรฐาน RoHs นอกจากนี้ยังหมดปัญหาเรื่องกลิ่นอับที่มาจากแผงคอยล์เย็น ด้วยฟังก์ชัน Self Clean ช่วยยับยั้งกลิ่นอับและการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็น และ Allergen Operation ระบบดักจับทำลายเชื้อโรคและต่อต้านสารก่อภูมิแพ้


เครื่องปรับอากาศ MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น AKI และ YUKI Series


มาต่อกันที่ เครื่องปรับอากาศ MITSUBISHI HEAVY DUTY รุ่น AKI และ YUKI Series ที่ยังคงโดดเด่นด้วยการออกแบบช่องลมแบบ Jet flow โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องบินเจ็ท ส่งลมเย็นได้ไกลสูงสุด 17 เมตร และ Hi Power การใช้งานโหมดพลังสูง ที่ช่วยเร่งความเร็วให้ห้องเย็นตามที่กำหนดภายในเวลา 15 นาที และฟังก์ชัน 3D Auto ที่กระจายลมอัตโนมัติแนวตั้ง 6 รูปแบบ แนวนอน 8 รูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของบ้าน รับรองว่ายังไงก็เย็นทั่วทุกทิศทาง

สำหรับใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือมีความเสี่ยงสูงหากต้องสูดหายใจรับฝุ่นละอองเข้าไปในระบบทางเดินหายใจแล้วละก็ หมดห่วงไปได้เลยด้วยแผ่นกรอง Anti allergy & Activated carbon air filter ที่มีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ ดูดซับก๊าซอันตรายและฝุ่นละอองในอากาศ พร้อมปลดล็อกอากาศบริสุทธิ์ด้วย Nano Air filter กับคุณสมบัติที่สามารถกรอกฝุ่น PM 2.5 ควันพิษ อีกทั้งยังช่วยกำจัดกลิ่น ป้องกันแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัส ตามมาตรฐาน RoHs อีกด้วย

จะดีแค่ไหนหากช่วงเวลาของการพักผ่อนคลาย คล้ายอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์สดชื่น ด้วยฟังก์ชัน 24 Hour ION ที่ช่วยปล่อยไอออนลบ ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในขณะที่เครื่องปรับอากาศไม่เปิดใช้งาน และฟังก์ชันทำความสะอาด Self Clean Operation ที่สามารถทำความสะอาดตัวเองอัตโนมัติ เพื่อไล่ความชื่นในคอยล์เย็นให้แห้ง จึงหมดกังวลกลิ่นอับเจ้าปัญหา และยังช่วยหยุดการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียอีกด้วย

เห็นแล้วใช่ไหมคะ!? ทำไมต้อง MITSUBISHI HEAVY DUTY เพราะไม่เพียงแค่ความเย็นฉ่ำสบายกาย แต่ยังได้สุขภาพอนามัยที่ดีไปพร้อมกัน แถมไม่ต้องกังวลว่าค่าไฟจะพุ่งกระฉูด ด้วย Inverter แท้ทั้งระบบ และยังประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 3 ดาว ทุก Series ยังรับประกันถึง 5 ปี ทุกชิ้นสวน คุ้มค่าระยะยาวสุดๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.mitsuheavythai.com

หรือ Facebook : Mitsubishi Heavy Duty Thailand โทร.02-378-9999

Facebook Comments
By LifeandHome Admin, 22/04/2021
Leave a Reply
Change language:
Instagram API currently not available.
Instagram API currently not available.