ฝนที่โปรยลงมาระหว่างเดินทางมาที่ร้าน หยุดลงพอดีเมื่อเรามาถึง เหลือไว้เพียงชื้นแฉะ ที่มันกลับยิ่งทำให้สวนแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา หยดน้ำที่ค้างอยู่ตามใบไม้เจือกลิ่นดินจางๆ ยิ่งทำให้เรารู้สึกเข้าใกล้ธรรมชาติจากสวนที่ถูกจัดไว้อย่างดี ราวกับเตรียมต้อนรับแขกผู้ที่มาเยือนร้านแห่งนี้ให้สดชื่นหัวใจด้วยไม้ดอกโทนสีร้อน และสวนป่าน้ำตกอันชุ่มฉ่ำ
จุดเริ่มต้นของสวนแห่งนี้มาจากการตั้งใจสร้างธุรกิจของครอบครัวอินจันทร์ โดยมีภรรยาที่ชอบการแต่งร้าน สามีที่ชอบการทำอาหาร และลูกสาวที่เพิ่งจบ High school จากอังกฤษ นี่จึงเป็นเหมือนการเอาความฝันของลูก ความชอบของแม่ ความถนัดของพ่อมารวมกันจนเกิดเป็นร้านแห่งนี้ โดยมีคอนเซ็ปต์ว่าอยากสร้างคาแรคเตอร์ให้ร้านกาแฟ เป็นที่พักพิงสำหรับหรับลูกค้าบนถนนเส้นคลอง 4 ด้วยการใช้ต้นไม้ ดอกไม้ ให้เกิดความผ่อนคลาย บรรเทาความเครียด เหมือนได้เดินเข้ามาในป่า
จึงเป็นจุดเริ่มต้นการรีโนเวทสวนเดิมบนพื้นที่รอบๆคาเฟ่ ที่เดิมจัดตามใจฉันอย่างไม่มีแบบแผน จนเมื่อรู้ตัวอีกทีต้นไม้ก็ขึ้นรกไปหมด สู่การติดต่อนักจัดสวนมืออาชีพอย่าง คุณนพดล ศรีศุภวินิจ เข้ามาช่วยจัดสวนให้เป็นระเบียบมากขึ้น โดยมีโจทย์ว่าอยากได้สวนป่าที่มีไอหมอก เป็นธรรมชาติ เนื่องจากละแวกนี้ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากนัก ครอบครัวอินจันทร์จึงใช้ที่ดินเป็นของตัวเองที่รายรอบตัวร้านทั้งหมดกว่า 4 ไร่ ให้เป็นเหมือนผืนกระดาษสีขาว พร้อมให้นักจัดสวนสร้างสรรค์งานศิลปะจากพรรณไม้ได้อย่างเต็มที่ ไม่มีข้อจำกัดด้านขนาด เพื่อให้ร้านเป็นจุดพักผ่อนที่แวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวอย่างที่ตั้งใจไว้ พร้อมตั้งชื่อร้านว่า Florista โดยเป็นคำผสมระหว่าง Flora กับ Barista หรือดอกไม้กับกาแฟนั่นเอง
“เราพยายามทำให้เป็นมากกว่าร้านกาแฟ อยากให้เป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยว โดยให้ตัวร้านมีมุมถ่ายภาพ จึงตั้งใจจัดสวนให้สวยรอบตัวร้าน เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาได้รู้สึกผ่อนคลาย ด้วยตัวร้านเป็นอาคารสไตล์อังกฤษ ด้านหน้าจึงจัดเป็นสวนอังกฤษเพื่อรับกับตัวอาคาร เน้นไม้ดอก โดยเลือกไม้ที่เหมาะสมกับอากาศบ้านเรา ที่ต้องมีความทนทาน
เมื่อเดินผ่านตัวร้านมาด้านหลังจะเจอกับสวนป่าที่มีน้ำตก มีหมอกที่ให้ความชุ่มชื่น สำหรับการเลือกพรรณไม้มาใส่ในสวนป่าด้านหลังสามารถเลือกได้หลากหลายทั้งไม้ดอกไม้ใบ ไม้หน่อ แต่ก็มีความสอดคล้องกับสวนด้านหน้า คือเป็นไม้ใบสีสัน” นักจัดสวนเล่า
นอกจากเรื่องสีสันและความสวยงาม ตำแหน่งการวางต้นไม้และทิศทางแสงก็ต้องมีความสัมพันธ์กัน ในส่วนของด้านหน้าร้านที่มีแสงแดดตกแทบทั้งวัน จึงออกแบบให้สวนด้านหน้าเป็นสวนไม้ดอก เลือกพรรณไม้ที่สามารถทนแดดได้ทั้งวัน
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม้ดอกต่างๆ เช่นดอกมอร์นิ่งกลอรี่ ที่มีขนาดเล็ก นอกจากช่วยเติมเต็มสีสัน ให้พื้นที่แล้วยังไม่บดบังหน้าร้านอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มไม้ยืนต้นอย่างต้นเสม็ดแดง และหลิวลู่ลมเพื่อสร้างมิติทางสายตาอีกด้วย
ส่วนด้านหลังเป็นสวนอีกสไตล์ อย่างสวนป่า มีน้ำตก เป็นสไตล์สวนป่าผสมบาหลี พรรณไม้หลากหลายและเต็มไปด้วยสีสันของป่าเขตร้อน ทั้งไม้ดอกไม้ใบ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว โดยสำหรับไม้ในสวนป่านั้นมีความหลากหลาย แสงและทิศทาง ในบริเวณที่แสงตกลงมาเยอะก็จะใช้พืชที่อยู่แดดได้ อย่างมอสดิน บริเวณที่แดดรำไรก็จะใช้พืชที่ชิบอยู่ในร่มอย่าง มอสน้ำ บีโกเนีย หน้าวัว ไอริส ไผ่ฟิลิปินส์ คล้านางพญา สับปะรดสี กล้วยไม้ดิน
จัดทัศนียภาพด้วยไม้ใหญ่ที่มีลักษณะโค้งตัวโน้มเข้าหาบ่อน้ำ เพื่อสร้างจุดนำสายตาเป็นเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ไปสู่บ่อน้ำ โดยเลือกชุมแสง 3 ต้น ว้าน้ำ 1 ต้น เพราะเป็นไม้ที่ใบร่วงน้อย ง่ายต่อทำความสะอาดบ่อ และป้องกันไม่ให้ใบไม้หล่นลงไปทับถมที่มอส ซึ่งอาจจะทำให้มอสเน่าได้
ที่สำคัญสำหรับสวนในคาเฟ่คือต้องไม่ลืมคำนึงถึงว่าเป็นสวนที่จะมีผู้คนมากมายเข้ามาใช้งาน ดังนั้นทางเดิน แผ่นหินโรยกรวด เลี่ยงการปลูกหญ้าที่อาจจะทำให้ดูแลยาก เบรกความแข็งของหินด้วยการแซมมอส หรือเฟิร์นกนหนารีเข้าไป คุณใหม่เล่าว่า เขาเลือกต้นไม้ต้องอยู่ได้จริง 95 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์สำหรับไม้ที่เปลี่ยนได้ตามฤดู
“เราจำลองธรรมชาติในแบบที่เป็นสไตล์เรา ให้เป็นสวนมอบความรู้สึกให้ผู้ที่เข้ามาได้รู้สึกเหมือนอยู่ต่างจังหวัด ในป่าในเขา เป็นสวนป่าที่มีสีสัน มีกลิ่นความสดใสในทุกมุม เพราะความสุขของพี่คือ ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือกี่ปีผ่านไป พี่ก็อยากให้สวนเขาสวยเหมือนเดิม เวลาที่เรามาเห็นลูกค้าที่เข้ามายิ้มแย้ม มีความสุข ถ่ายรูปกัน เราในฐานะนักจัดสวนเราก็พลอยมีความสุขไปด้วย” นักจัดสวนทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม