ความรักและความชัง เส้นทางของเซเลบสาวสวย ‘คุณเชอร์รี่ – ทิพย์ระวี ภู่ไชย’ หรือ ‘Sherry Hilton’ เส้นทางสู่แคทวอล์คระดับโลกในตำแหน่ง Professional Hairdresser คนดังผู้มีประสบการณ์มากถึง 14 ปีด้วยการบรรจงความรู้สึก ‘ศิลปะบนศีรษะ’
คล้ายกับเป็นโชคชะตา คุณทิพย์ระวีเล่าว่า “ตอนแรกนึกว่าตัวเองเป็นคนโชคไม่ดี เนื่องจากสมองจะถนัดแค่ซีกเดียว การท่องจำหรือการคำนวณจะทำได้ไม่ดีเท่าการทำงานศิลปะ สังเกตได้จากการจำก็จะจำเป็นภาพ” ความชังต่อวิชาการคำนวณรวมถึงการท่องจำ ทำให้ค้นพบความถนัดในการเรียนสาย Art & Design ซึ่งเป็นวิชาที่ถนัดที่สุด จึงเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในสาย Fashion Designer ที่ Central St. Martin ณ กรุงลอนดอน
หนึ่งในวิชาคอร์คอร์สคือวิชาของการคำนวณลายผ้า ซึ่งทำให้วัยรุ่นรักสนุกคนหนึ่งต้องอยู่ในภวังค์ของความทรมาน ทำให้สาวสวยผู้ซุกซน เผลอใจไปลงเรียนที่ Alan D Hairdressing Education โรงเรียนสอนตัดผมตามที่ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีลูกครึ่งอิตาเลียน – ฝรั่งเศสกำลังศึกษาอยู่ในขณะนั้น การหลีกหนีจากความชังมาสู่พื้นที่ใหม่ ทำให้คุณทิพย์ระวีได้พบกับรักทั้งสองประการ หนุ่มโฉมงาม และ ‘ศิลปะบนศีรษะ’
“ลูกค้า คือ กำลังใจ ความอบอุ่นของพวกเขามีค่ากว่าเม็ดเงิน”
ถึงแม้ในตอนเริ่มต้นของการเรียนเป็นช่างทำผมนั้นจะยาก แต่ด้วยเงื่อนไขที่แอบมาสมัครเรียนโดยไม่ได้บอกทางบ้าน ทำให้ต้องทนเป็นหญิงแกร่ง จนได้พบกับวิชาทฤษฎีสีและรูปทรงที่ทำให้รู้สึกว่า ‘ศิลปะบนศีรษะ’ นั้นเป็นทางของเธอ พร้อมความสนุกที่เกิดขึ้นจากความเชื่อมโยงในสายงานแฟชั่นที่เธอหลงใหล ทำให้สาวมุ่งมั่นคนนี้พูดถึงนิสัยส่วนตัวว่า “เวลารู้ว่าตัวเองจะทำอะไรแล้ว จะไปทางนั้นทางเดียว” ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นที่มาพร้อมกับความต้องการ “ฉันอยากจะเปลี่ยนผมตัวฉันเองที่ดำให้เป็นบลอนด์ เพราะฉันชอบ Victoria Beckham”
แต่การได้มาของสีผมของคนยุโรปหากจะให้เหมือนกับคนเอเชียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้คุณทิพย์ระวีพูดถึงความตั้งใจว่า “ตอนนั้นก็เรียน เรียน เรียน เรียน จนสามารถเปลี่ยนสีผมตัวเองได้ นั่นเป็นความมุมานะ ความบ้าบอของตัวเองที่อยากจะทำอย่างนั้นก็จะทำให้ได้” แต่ด้วยยุคสมัยขณะนั้น ทำให้คุณทิพย์ระวีต้องไขว่คว้าความ expert ด้วยการเทคคอร์สสอนทำผมจากสถาบันซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อาทิ Vidal Sassoon, Toni&Guy และ Arion Bezuidenhout ต่อมาได้มีโอกาสทำงานกับ John Cedars ผู้เป็นช่างทำผมของ Lady Diana, Princess of Wales เป็นเวลาหนึ่งปีที่ไวเหมือนโกหก แต่แล้วความสุขก็ถูกแทรกซึมด้วยความโศกเศร้า หยาดน้ำตาของคุณทิพย์ระวีถูกสะกิดให้ไหลรินออกมาจากการสูญเสียคุณพ่อ ทำให้คุณแม่แจ้งว่าธุรกิจทีประเทศไทยจำเป็นต้องมีคนช่วย นั่นทำให้คุณทิพย์ระวีรู้สึกเหมือนความฝันในการเป็นช่างทำผมขณะนั้นพังทลายลงจนหมดสิ้น แต่ในที่สุดเธอภายหลังที่เธอสามารถจัดระบบระเบียบให้กับธุรกิจของทางบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมเผยความในใจกับคุณแม่ว่า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่การแต่งตัวจะต้องเรียบร้อย นุ่ง Hot Pants สั้นคืบหนึ่งคู่กับเสื้อเอวลอย ใส่รองเท้า Buffalo Boots หรือการทำผมสีไม่ได้ ทำให้เชอร์รี่รู้สึกไม่เป็นตัวเอง” เธอจึงขอกลับเข้าสู่เส้นทางทำตามฝัน คือ การเปิดร้านซาลอนใช้ชีวิตการทำงานในแบบสาวสวยผู้หลงรักความสนุกสนาน พร้อมความกล้าในการนำเทรนด์ใหม่เข้าสู่วงการแฟชั่นไทย
ทำให้ Libertish Salon Café ร้านทำผมแห่งแรกที่ให้ลูกค้าได้ดื่ม และทำผมไปพร้อมกันได้ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อกลุ่มคนที่รักงานศิลปะอย่างอิสระ ณ สยามสแควร์ ซอย 4 ในธีมการตกแต่ง Modern Contrast สีขาวดำ ที่ผสมสีนีออนสไตล์ Pop Art สะท้อนถึงความชอบใน สไตล์ Punk และ Avant-garde สไตล์แห่งการฉีกกรอบเดิมๆ ซึ่งแสดงออกมาอยู่บนผมงานการตัดผมที่มีการแอบใส่ลายเซ็นลงไปในทุกผลงาน รวมถึงเทคนิคการทำสีผมโทนหม่น Ash Blonde ที่มี Dimension สามมิติ หรือการไล่สีถึง 7 Shades บวกกับผลงานที่ทำให้ Celeb เมืองไทย อาทิ คุณเจนนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, คุณเจี๊ยบ – โสภิตนภา, คุณโอ๋ – ภัคจีรา หรือ คุณวิกกี้ – สุนิสา ด้วยทัศนคติการทำงานอย่างจริงใจ ‘พูดกับลูกค้าตรงแบบมีมารยาท’ พร้อมกับความเอาใจใส่ในดีเทลของลูกค้า ทำให้การทำผมแบบคุณทิพย์ระวีนั้นต้องเริ่มต้นด้วย Analysis ก่อนเสมอเพราะ “หากเราทำผมให้สวยตามแฟชั่นเปะ แต่ลูกค้าไม่สามารถเดินให้เซลฟ์เชิดหน้าได้ ก็ถือว่าเราเฟลในงานที่ทำ ความเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญกับตัวลูกค้ามาก” นับเป็นเคล็ดลับความประสบความสำเร็จภายในสองปีหลังจากเปิดร้าน นอกจากงานในร้าน คุณทิพย์ระวียังฝากผลงานการทำผมไปบนแคทวอล์คงานแฟชั่นวีก House of Holland ในปี 2014 ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผม Percy & Reed อีกด้วย
ทัศนคติของผู้ที่พบรักในงานที่ตนเลือกผ่าน ‘ความรู้สึก’ ถูกถ่ายทอดสู่ผลงาน ‘ศิลปะบนศีรษะ’ พร้อมคำนิยามการทำงานว่า “เป็นชีวิตจริง เป็นทรงผมที่ใช้ได้จริง” ทำให้เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จในปีที่ 14 ของร้าน Libertish Salon Café ณ Maison53 บนถนนสุขุมวิท 53 ที่ตั้งในปัจจุบัน ในลุคที่โตขึ้น แต่ยังคงความสนุกสนานส่งมอบผลงานด้วยหัวใจดวงเดิมเสมอมา
Story : นิชาภา โตยิ่งเจริญ
Photography : ชยพล ปาระชาติ