ฉันเชื่อว่าใครๆ หลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้
ซึ่งฉันเคยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมความรักมันมีความสำคัญจังเลยนะ และถ้าโลกนี้ปราศจากความรักผู้คนจะเป็นอย่างไร จะดำเนินชีวิตกันได้ไหม?
คำตอบคือไม่รู้ และฉันก็ไม่ควรสงสัยตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะคนทุกคนเกิดมาจากความรัก และความรักก็มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรักครอบครัว รักเพื่อน รักแฟน รักแบบพี่-น้อง รวมไปจนถึงการรักตัวเอง (อันนี้สำคัญ) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบไหนก็ล้วนแต่เป็นพลังงานที่ดี ขับเคลื่อนให้ทุกชีวิตก้าวต่อไป และที่แน่ๆ ฉันว่าความรักเป็นเรื่องที่น่ายินดี 🙂
“เปรี้ยว…พี่จะแต่งงานแล้วนะ” เสียงเล็กๆ ปลายสายที่ฉันคุ้นเคยซึ่งมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของพี่แพร หญิงสาวตากลม ตัวเล็ก บอบบาง น่าทะนุถนอม เธอเป็นพี่สาวที่ฉันสนิทและรักมากคนหนึ่ง โทรมาแจ้งข่าวดีรวมถึงวันเวลาล่วงหน้า ก่อนจะทิ้งท้ายข้อความที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อย..
“งานแต่งพี่ไม่มีธีมนะ อยากใส่อะไรก็ใส่มา แค่อยากเจอ”
ที่บอกว่าแปลกใจ คงไม่ใช่เรื่องพี่สาวคนสนิทจะแต่งงานเพราะเธอใช้เวลาบ่มรักกับแฟนหนุ่มมาถึง 11 ปี แต่ที่ฉันยิ้มและรู้สึกดี คือประโยคที่ว่า ‘งานนี้ไม่มีธีมและแค่อยากเจอ’ เพราะปกติงานแต่งงานในปัจจุบันมักจะมีธีมเยอะแยะมากมาย บ้างก็ตั้งใจคิดกันมาอย่างสร้างสรรค์ บ้างก็คิดไปไกลถึงธีมอวกาศเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ได้ผิดแปลกอะไร แต่สำหรับคนขี้เกียจอย่างฉัน ย้ำ! อาจเป็นแค่ฉันคนเดียวที่แอบรู้สึกว่ามันยากจัง และไม่สนุกเอาซะเลยกับการตามล่าหาชุดเพื่อให้เข้าธีมนั้นธีมนี้ หรือเพราะฉันยังไม่เคยแต่งงานเลยยังไม่อินกับมันก็ไม่รู้ แต่เมื่อได้ยินประโยคที่กล่าวมาข้างต้นจากว่าที่เจ้าสาวก็เลยทำให้ฉันรู้สึกว่า..เออ นี่แหละ งานแต่งงานที่แท้จริง! 555
ก่อนจะพร่ำเพ้อไปไกล ตัดภาพมาที่งานแต่งงานเลยดีกว่าค่ะ 😀
วันอาทิตย์ที่ 22 เดือนมกราคม ปี 2560 คือฤกษ์งามยามดีของงานวิวาห์นี้ งานเล็กๆ ที่เชิญแค่ญาติ และเพื่อน พี่ น้องคนสนิท ซึ่งทำพิธีแบบเรียบง่าย ภายในงานไม่มีรูปพรีเวดดิ้งแบบงานอื่นทั่วไปเหตุผลเพราะเจ้าสาวบอกว่า ‘สิ้นเปลือง’ 5555555 แต่ภายในงานต่างอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งมันเป็นบรรยากาศที่ดีและน่าจดจำ เพราะมันรู้สึกได้ถึงความสุขใจอย่างแท้จริง
เมื่อจบพิธีการต่างๆ เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงฉลองมงคลสมรส พิธีกรเชิญเจ้าบ่าว-เจ้าสาวขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ก่อนจะให้พูดถึงความในใจกันและกัน สำหรับฉันคิดว่าช่วงนี้แหละพีค! พิธีกรให้เจ้าบ่าวเริ่มพูดก่อน แน่นอนว่าเขาต้องขอบคุณผู้ใหญ่และแขกก่อนจะเริ่มมีประโยคซึ้งกินใจที่ทำให้ภายในห้องเงียบสงัดก่อนจะส่งเสียงกรี้ดกันเกียวกราว..
“คู่เราคบกันมาก็ 11 ปี ขอกันเป็นแฟนยังไงเมื่อไหร่ผมก็จำไม่ได้ แต่รู้ตัวอีกที ก็มีเขาอยู่ข้างๆ ในทุกวัน และทุกๆ ขั้นตอนของการใช้ชีวิตไปแล้ว”
ในขณะที่เจ้าสาวกล่าวเพียงคำขอบคุณสั้นๆ อย่างจริงใจและบอกรักทุกคนด้วยแววตาชื่นมื่นแฝงไว้ด้วยความสุข เจ้าบ่าวกลับน้ำตารื้นเอ่อล้นออกมาแบบเก็บไว้ไม่อยู่ ซึ่งเป็นภาพที่น่ารักและแขกในงานคงประทับใจไม่ต่างกันกับฉัน
จากงานวิวาห์ที่น่ารักและเต็มไปด้วยคำยินดีงานนี้ทำให้ฉันกลับบ้านมานอนคิดว่า..
“ในชีวิตคนเรามันต้องมีใครสักคนหนึ่งแหละเนอะที่คอยให้ความรู้สึกอุ่นใจ เวลาที่เราไม่ไหวจริงๆ แล้วเขาก็ยังจะอยู่เคียงข้าง และทำให้ทุกๆ วันมีความหมาย เต็มไปด้วยความรักที่ถ่ายทอดออกมาเป็นความรู้สึกทั้งสุขและเศร้า รวมกันอยู่ในชื่อของ..ความทรงจำ”
*ขอบคุณเจ้าของภาพรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เดินถือตุ๊กตาด้วยค่า เปรี้ยวแอบไปจิ๊กมาจากเฟสพี่แพร ><